“วันหนึ่งผมได้พบกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ผมตกใจมากที่เขาเข้ามาทักผม และบอกว่าในวัยเด็กผมคือฮีโร่ของเขา แถมยังมีโปสเตอร์ของผมติดที่ฝาห้องด้วย”
นี่คือสิ่งที่ สตีเฟน ไอร์แลนด์ อดีตกองกลางของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าวไว้เมื่อปี 2020 เขาเคยเก่งขนาดนั้นจริง ๆ แต่ฟอร์มก็ตกอนาคตก็ดับภายในเวลาอันรวดเร็ว และถูกจดจำในฐานะ “คนขี้โกหก” กลายเป็นคนทรยศสำหรับชาวไอร์แลนด์
ทั้งหมดคือเรื่องราวของนักเตะผู้ไม่เคยอยากจะติดทีมชาติชุดใหญ่ และเลือกเดิมพันกับสิ่งที่เขาเชื่อว่ามันสำคัญกว่าสิ่งใดบนโลกนี้
อัจฉริยะของชาวซิติเซ่นส์
สตีเฟน ไอร์แลนด์ อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักของคอบอลยุคนี้ เพราะเขาไม่ได้มีความสำเร็จอะไรมากมายนัก แถมยังยืนระยะในวงการได้เพียงช่วงสั้น ๆ ทำให้ชื่อของเขาหายไปตามกาลเวลา
แต่หากจะให้เราอธิบายถึงความเก่งกาจในวันที่ ไอร์แลนด์ พีกที่สุด มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก…
ย้อนกลับไปในช่วงที่ แมนฯ ซิตี้ เพิ่งเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ๆ จาก ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นกลุ่มทุนจากอาบูดาบี สโมสรมีเงินมากมายในกระเป๋า แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่มีแรงดึงดูดเพียงพอที่จะคว้าตัวนักเตะระดับแถวหน้าของวงการเข้ามาสู่ทีม การซื้อตัวในเวลานั้นจึงกลายเป็นการหว่านซื้อนักเตะตัวเด่น ๆ หรือดาวรุ่งที่ฟอร์มดี ๆ จากทีมเล็ก ๆ เพื่อมาใช้งาน
อย่างไรก็ตามมีนักเตะไม่กี่คนที่ทำผลงานได้น่าประทับใจจนอยู่กับทีมได้ยาว ๆ นอกเสียจากในรายของ แว็งซ็องต์ กอมปานี ที่กลายเป็นกัปตันทีมในภายหลังเท่านั้น ที่เหลือออกแนวท่าดีที่เหลว ไม่คงเส้นคงวา บ้างก็มาเพื่อเงิน เล่นแบบไม่ทุ่มเทจนไม่ได้ใจแฟน ๆ ชาวซิติเซ่นส์
ในช่วงที่นักเตะคนอื่น ๆ ไม่ใช่นักเตะแถวหน้านั่นแหละ สตีเฟน ไอร์แลนด์ คือนักเตะที่ทุกคนยอมรับตรงกันว่าเขาคือตัวอันตรายที่สุดของ แมนฯ ซิตี้ ณ เวลานั้น
ไอร์แลนด์ เป็นกองกลางตัวรุก เป็นเด็กปั้นของสโมสร มีวิธีการเล่นที่สวยงาม เป็นบอลสมองโดยสมบูรณ์แบบ และยังมีคาแร็กเตอร์ห้าวหาญ กัดไม่ปล่อยสู้ไม่ถอย เขาจึงกลายเป็นที่รักของแฟน ๆ แมนฯ ซิตี้ ตั้งแต่วันที่เดบิวต์กับทีมชุดใหญ่ในวัย 18 ปี
“สตีเฟน ไอร์แลนด์ คือนักเตะที่เปลี่ยนเกมได้ภายในไม่กี่สัมผัสเท่านั้น เขามีเซนส์ฟุตบอลที่เหลือร้าย ออกบอลเหมือนกับมีตารอบตัว เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ในวันที่เขาแข็งแกร่งที่สุดผมคิดว่าเขาก็ไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีกเหมือนกัน” มาร์ค ฮิวจ์ส กุนซือของ แมนฯ ซิตี้ ในเวลานั้นกล่าว
ตอนนั้น ซิตี้ ยังเป็นทีมที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่มีแชมป์เหมือนกับทุกวันนี้ ไอร์แลนด์ มีข่าวเชื่อมโยงกับทีมที่ใหญ่กว่าตลอดทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, สเปอร์ส หรือแม้กระทั่งทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ด้วย
เรื่องนี้เกิดขึ้นในเกมนัดอุ่นเครื่องปี 2008-09 ที่ แมนฯ ซิตี้ เจอกับ บาร์เซโลน่า ในเกมนั้น ไอร์แลนด์ ฉายแสงสุด ๆ เขาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในสนาม
“ผมไม่ได้จะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ เกมนั้นผมว่าผมเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในสนามเหนือคนอื่น ๆ ระดับนึงเลย เกมนั้น เมสซี่ ก็ได้ลงเล่นด้วย ผมทำงานในส่วนของผมและยังต้องวิ่งไล่จัดการเขาอย่างบ้าคลั่ง ผมต้องคอยสกัดเมสซี่แทบจะตลอด เกมที่ได้เจอคนเก่ง ๆ แบบนี้ทำให้ผมตื่นตัว ผมรู้สึกว่าผมวิ่งเร็วขึ้น พยายามมากขึ้น ผมคิดว่าผมเป็นนักเตะที่ถูกสร้างมาเพื่อสถานการณ์แบบนี้”
ความสำเร็จกับ แมนฯ ซิตี้ อาจจะไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหากมองในแง่มุมของถ้วยรางวัล แต่ในยุคที่ ไอร์แลนด์ เป็นจอมทัพของทีม มันคือช่วงเวลาที่เขาทำให้ แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่ดีขึ้นจริง ๆ เขามีส่วนทำประตูและแอสซิสต์ไปทั้งหมดรวม 19 ประตู ในฤดูกาล 2008-09 เข้าชิงรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกและคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรอีกด้วย
“สตีเฟน เป็นมนุษย์ที่น่าเหลือเชื่อมาก เขาเป็นคนตลก แต่ก็จริงจังเมื่อถึงเวลา นี่คือผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ ในฤดูกาลนั้นหากทีมของเราไม่มีไอร์แลนด์ ผมกล้าพูดเลยว่าเราไม่มีทางทำผลงานได้ดีและต่อยอดทีมจนมาถึงยุคปัจจุบันได้อย่างแน่นอน” เนดุม โอนูโอฮา กองหลังของ ซิตี้ กล่าวถึงไอร์แลนด์
เมื่อเริ่มต้นได้ดีทุกอย่างก็ควรจะดีตาม มันเป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่าย ๆ แต่ในเคสของ สตีเฟน ไอร์แลนด์ นั้นแตกต่างออกไปจากนักเตะคนอื่น ๆ ในฤดูกาล 2008-09 คือฤดูกาลที่ดีที่สุดในชีวิตนักเตะของเขา เขาเริ่มมีชื่อเสียง เริ่มสูญเสียแนวทางความมุ่งมั่นที่เคยมีไป และสุดท้ายเมื่อหมดซึ่งแพชชั่น ปัญหาที่เขาซ่อนไว้ใต้พรมก็ถูกเปิดเผย
คนทรยศ
ตามที่ได้กล่าวในข้างต้น สตีเฟน ไอร์แลนด์ ไม่เคยเก่งขึ้นเลยนับจากนั้น มันไม่ใช่การย่ำอยู่กับที่ด้วยซ้ำ แต่มันคือการก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว โดยเรื่องเกิดจากปัญหามากมายที่ปะทุขึ้นพร้อม ๆ กัน
ย้อนกลับไปในปี 2008 อีกสักครั้ง ความเก่งของ สตีเฟน ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมชาติไอร์แลนด์ตั้งแต่อายุยังน้อย สิ่งนี้ควรจะเป็นฝันของนักเตะดาวรุ่งหลาย ๆ คนสำหรับการได้เล่นทีมชาติชุดใหญ่แต่สตีเฟนกลับมองมันต่างออกไป เขาไม่ชอบการติดทีมชาติด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างรวมกัน ซึ่งที่สุดแล้วมันทำให้เขาพยายาม “หาข้ออ้าง” เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเล่นทีมชาติไอร์แลนด์เสมอ
ตอนนั้นเขาอายุ 21 ปี และถูก สตีฟ สตอนตัน กุนซือของทีมชาติไอร์แลนด์ วางให้เป็นตัวหลักสำหรับสู้ศึกฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก แต่ก็ตามที่ได้ว่าไว้ สตีเฟน รู้สึกว่าการติดทีมชาติมันเป็นเรื่องเสียเวลาสำหรับเขา ต่อให้วางเขาเป็นดาวเด่นมันก็ยังไม่เปลี่ยนมุมมองของเขาอยู่ดี
เขาสร้างตำนานมากมายเช่นการสร้างเรื่องโกหกว่าย่าของเขาเสียชีวิต จากนั้นก็ตามด้วยการอ้างว่าปู่ของเขาเสียชีวิตในครั้งถัดมา และยังมีครั้งที่สามที่ขอปฏิเสธร่วมแคมป์ทีมชาติโดยให้เหตุผลว่าแฟนสาวของเขาแท้งลูก
เขาให้แฟนสาวที่คบหาดูใจกันในเวลานั้นโทรหา สตีฟ สตอนตัน และเริ่มเล่าเรื่องโกหกต่าง ๆ ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ เขาบอกว่าย่าของเขาเสียชีวิตและต้องรีบบินกลับไปร่วมงานศพที่บ้านเกิด แต่หลังจากนั้นก็มีการเผยข้อมูลผ่านสื่อในภายหลังว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เขาแค่แต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเท่านั้นเอง
สตีเฟน ยังคงแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ โดยอ้างว่าเขาเข้าใจผิดและไม่ได้ตั้งใจจะโกหก จริง ๆ แล้วย่าเขาไม่ได้เสียชีวิตแต่เป็นญาติฝั่งพ่อของเขาต่างหาก คำโกหกดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้น แฟนบอลทีมชาติไอร์แลนด์เริ่มมองเขาเปลี่ยนไป จากนักเตะดาวรุ่งที่เป็นอนาคตของทีมชาติ กลายเป็นแค่เด็กที่ไม่รู้จักโตคนหนึ่งเท่านั้น
เขาหมดความชอบธรรมไปไม่น้อยกับคดีที่แฟนทีมชาติไอร์แลนด์เรียกว่า “แกรนด์มาเกต” สตีเฟน เองก็เครียดกับคำโกหกที่โดนแฉอย่างน้อย ๆ ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ประกอบกับช่วงที่จบฤดูกาล 2009-10 เขาก็เริ่มมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บบ่อย ๆ จนหลุดจากการเป็นตัวหลักของทีม และเริ่มมีข่าวว่าสโมสรพยายามจะปล่อยเขาออกไป และใช้เงินที่ได้มาไปซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทัพแทน
การถดถอยของคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้โกหกทำให้ สตีเฟน โดนสื่อรุมยำได้ง่ายกว่าปกติ เริ่มมีการขายข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ของเขา พฤติกรรมนอกสนาม การอ่อนซ้อมอะไรต่าง ๆ มากมาย สตีเฟน เองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกรู้สา เขาพยายามที่จะกลับมาเป็นยอดดาวรุ่งคนเดิม แต่ปัญหาคือร่างกายของเขาอ่อนแอลงจากการอ่อนซ้อมทำให้เขาเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย มันทำให้เขาขาดแมตช์ฟิต สุดท้ายเขาก็พบว่าเขาตกหลุมความสำเร็จของตัวเองไปเสียแล้ว
“ช่วงเวลานั้นคือส่วนที่ยากที่สุดในอาชีพของผมเลย มันเป็นจุดเปลี่ยนของอาชีพ ผมเคยมีปีที่ดีแต่ถัดมาอีกปีผมก็กลายเป็นใครก็ไม่รู้ ผมหลุดจากตำแหน่งตัวจริงและได้ลงเล่นน้อยมาก บางเกมก็เล่นแค่ครึ่งเดียว บางนัดก็ลงไปท้ายเกม ซึ่งมันก็ยิ่งส่งผลต่อเนื่องกันไปอีก” ไอร์แลนด์ กล่าว
“ผมไม่ได้จะตำหนิใครสำหรับเรื่องนี้ ผมไม่เก่งแบบเดิมนั่นก็เป็นเหตุผลจากตัวผมเอง ผมไม่อยากจะหาข้อแก้ตัวหรือหาแพะรับบาปให้กับความล้มเหลวนี้”
“สื่อและแฟนบอลเริ่มบอกว่าผมจะไม่มีทางที่จะกลับไปเป็น ไอร์แลนด์ เดอะ ซูเปอร์แมน ได้อีกแล้ว ผมตกเป็นเหยื่อของความสำเร็จของตัวเอง” ไอร์แลนด์ ในช่วงที่เลิกเล่นแล้วมองย้อนกลับไปยังอาชีพของเขา
แมนฯ ซิตี้ โตขึ้นทุกวันและพวกเขาก็ไม่มีทางมารอนักเตะคนเดียวได้ แม้กับคนที่เคยเก่งที่สุดในทีมอย่างไอร์แลนด์ แนวทางการเล่นของสโมสรก็เปลี่ยนไป นักเตะเกรดดี ๆ เริ่มย้ายเข้ามา การมาของ แกเรธ แบร์รี่, คาร์ลอส เตเวซ และ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ทำให้ ไอร์แลนด์ กลายเป็นนักเตะอะไหล่ของทีมไปโดยปริยาย
และท้ายที่สุดเขาก็ได้ข่าวร้ายเมื่อมีการยืนยันจากทาง แมนฯ ซิตี้ ว่า หลังจบฤดูกาล 2009-10 เขาจะถูกเสนอเป็นส่วนหนึ่งในการซื้อตัว เจมส์ มิลเนอร์ มาจาก แอสตัน วิลล่า … ตอนนั้น ไอร์แลนด์ คิดว่าอาชีพของเขาจบลงแล้ว
เขาคิดไปไกลถึงขั้นการวางแผนเกษียณอาชีพเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเดินต่อไปคือ “ค่าจ้าง” สิ่งนี้เขากล่าวเองกับสื่ออย่าง เพราะมีการปรึกษากับนักบัญชีของเขา โดยเขาได้รับคำแนะนำว่าหากเขาแขวนสตั๊ดทันทีในตอนนี้ เงินที่เขาเก็บไว้สามารถใช้สำหรับชีวิตที่เหลือได้แต่เขาก็ต้องประหยัดให้มาก เหนือสิ่งอื่นใดคือ ไอร์แลนด์ ไม่ได้แบกความเสี่ยงไว้ที่เขาคนเดียวเท่านั้น ในตอนนั้นเขามีภรรยาและลูกอีก 2 คน…
ซึ่งการมีลูกนี่แหละคือจุดปลี่ยนสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชีวิตนักเตะของเขาเลย
ปัญหาที่ซ่อนไว้
ไอร์แลนด์ มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องทัศนคติ การโกหก สภาพจิตใจ และสภาพร่างกาย เรียกได้ว่ามองทางไหนก็ไม่เหลือแววที่จะเป็นนักเตะที่ดีได้อีกครั้งแน่นอน เขาออกจาก ซิตี้ ย้ายไปอยู่กับ แอสตัน วิลล่า, นิวคาสเซิล, สโต๊ก และปิดฉากอาชีพกับ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ในลีกแชมเปี้ยนชิพเมื่อปี 2018 แบบที่ไม่ได้ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่เลยแม้แต่เกมเดียว
การถดถอยครั้งนี้เกิดจากปัญหาที่เขาสั่งสมมาตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น ซึ่งเขาเปิดเผยว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเมื่อมีลูกตั้งแต่ยังเด็ก ตอนที่เขาอายุ 18 ปี เขาก็มีลูก 2 คนแล้ว
เขาไม่ได้บอกว่าลูกคือปัญหา แต่ปัญหาจริง ๆ คือเขาไม่สามารถรับมือกับการเป็นนักเตะอาชีพและการเป็นพ่อคนไปพร้อม ๆ กันได้ดีพอ ด้วยความที่ยังเป็นวัยรุ่นและวงการฟุตบอลในช่วงนั้นก็ไม่ได้มีนักจิตวิทยา ไม่ได้มีสิ่งต่าง ๆ ที่คอยช่วยเหลือนักเตะด้านสภาพจิตใจเหมือนในทุกวันนี้ ประกอบกับ ไอร์แลนด์ ที่เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดเรื่องปัญหาของตนให้ใครฟัง เขาจึงต้องแบกความยากลำบากของการเป็นคุณพ่อลูก 2 ในวัยทีนเอจ จนถึงวันที่เขาเริ่มประคองมันไม่ไหว
“ชีวิตผมกลับหัวกลับหางอย่างสิ้นเชิงเมื่อผมมีลูก 2 คนตอนที่ผมอายุ 18 ปี” เขาเริ่มเล่าเรื่องความหลัง
“ผมเลี้ยงลูกของผมคนเดียว พ่อแม่ของผมแยกทางกัน และแม่ของลูกผมเราก็แยกทางเช่นกัน คุณต้องลองคิดดูว่าผมอยู่กับลูกตลอดเวลา ผมแบกลูก ๆ เอาไว้ปีแล้วปีเล่าตั้งแต่อายุ 17, 18 และ 19 เชื่อผมเถอะว่ามันยากเย็นจริง ๆ”
“ตอนนั้นวงการฟุตบอลไม่ได้มีการซัปพอร์ตนักเตะสำหรับเรื่องนอกสนามมากนัก แมนฯ ซิตี้ ก็ยังไม่ใช่ทีมใหญ่เหมือนทุกวันนี้ ผมก็เลยไม่ได้รับความช่วยเหลือในแบบที่ผมอยากจะได้ ผมต้องเลี้ยงลูกด้วยสัญญานักเตะเยาวชน โดยมีค่าเหนื่อยอยู่ที่ 85 ปอนด์ต่อสัปดาห์”
“ผมพยายามผลักดันตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น แต่รู้ไหมมันไม่ง่ายเลย ลูกของผมโตขึ้นทุกวัน คนนึงอายุ 8 เดือน อีกคนอายุ 2 ขวบ ตอนที่ผมลงเล่นในพรีเมียร์ลีกครั้งแรก ผมไม่มีแม้กระทั่งรถยนต์เป็นของตัวเอง เวลาจะเดินทางไปซ้อมผมต้องนั่งอยู่บนแท็กซี่พร้อมกับเด็กทารกในอ้อมแขน พร้อมกับเด็กวัยกำลังหัดเดินที่นั่งข้าง ๆ พร้อมกับตะกร้าผ้าที่ต้องเอาไปร้านซักรีด … ผมเดินทางไปสโมสรเพื่อลงแข่งขันพรีเมียร์ลีกแบบนั้นแหละในช่วงแรก”
จริงอยู่ที่ ไอร์แลนด์ เอาชนะช่วงเวลานั้นมาได้ในตอนแรก ๆ จากการก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่จนกลายเป็นตัวหลักทั้งในสโมสรและทีมชาติ แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นเขาอายุแค่ 21 ปี และมีความเป็นวัยรุ่นพลุ่งพล่านอยู่มาก มันย่อมมีอารมณ์ที่อยากเป็นอิสระ อยากออกไปเที่ยว อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่สิ่งที่เขาทำได้ในทุก ๆ วันหลังจากเลิกซ้อมคือการกลับบ้านไปเลี้ยงลูก 2 คน
เรื่องนี้มันส่งผลต่อจุดเปลี่ยนของเขากับทีมชาติไอร์แลนด์ด้วย เพราะ สตีเฟน พบว่าเขาเหนื่อยพอแล้วกับการเล่นให้สโมสรในช่วงสุดสัปดาห์ และเมื่อโปรแกรมทีมชาติมาถึง นักเตะที่ไม่ติดทีมชาติจะได้หยุดพักอย่างน้อย 4-5 วัน แต่นักเตะที่ติดทีมชาติจะต้องไปเข้าแคมป์เก็บตัวอย่างน้อย 10 วัน … สำหรับเขามันมากเกินไป แถมยังต้องกระเตงลูกเดินทางไปด้วย ดังนั้นจึงกลายเป็นที่มาของมุกโกหกต่าง ๆ ที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงการติดทีมชาติไอร์แลนด์ในเวลานั้น
“สำหรับทีมชาติไอร์แลนด์ ผมเคยภูมิใจกับโอกาสที่ได้นะในช่วงการถูกเรียกตัวสักครั้งหรือสองครั้งแรก ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเหมือนกับถูกล็อตเตอรี่ และมันก็เป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งสำหรับผมในตอนนั้น”
“แต่หลังจากนั้นปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้นกับผม สตีฟ สตอนตัน พยายามบอกว่าให้ผมเอาลูกมาเข้าแคมป์เก็บตัวด้วยก็ได้ โดยมีบริการพี่เลี้ยงในโรงแรมที่พักขณะที่ผมไปซ้อม ผมคิดว่าตอนนั้นมันไม่เหมาะกับการเอาเด็กน้อยไปฝากไว้ในต่างแดน ดังนั้นผมก็เลยไม่ได้พาลูกไปด้วย ในเวลานั้นผมคิดเสมอว่าการเข้าแคมป์เก็บตัว 10 วันมันมากเกินไป มากเกินกว่าที่ผมจะให้ได้” ไอร์แลนด์ ว่าต่อ
อย่าเข้าใจผิด ไอร์แลนด์ ดูแลลูกของเขาอย่างดีเสมอ แม้จะเหนื่อยแต่เขาก็ทำหน้าที่พ่อได้ดี เขาไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียนด้วยตัวเองทุกวัน พาไปเที่ยวเมื่อมีเวลาว่าง และพยายามให้เวลากับลูก ๆ เป็นอันดับ 1 ในฐานะพ่อเลี้ยงเดี่ยวเขาทำหน้าที่ได้ดีมาก เขาสามารถแบกรับทุกอย่างเอาไว้โดยไม่ปล่อยให้ลูกได้รับรู้ถึงความยากลำบาก แต่ในฐานะนักเตะอาชีพเขาสอบตกอย่างไม่ต้องสงสัย
“การเล่นให้ทีมชาติไอร์แลนด์เป็นสิ่งผมไม่สามารถทำได้เต็มที่ ผมเสียสละและเลือกการติดทีมชาติเหนือกว่าลูก ๆ ไม่ได้จริง ๆ” เขากล่าวถึงเบื้องหลังทั้งหมด
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ไอร์แลนด์ เป็นเหมือนกับการหาสิ่งที่เรียกว่า ให้กับตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยการวางแผนสร้างครอบครัวที่ผิดพลาด การเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบออกมาบู๊สู้ชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม และแน่นอนที่สุดคือเขาไม่สามารถจัดการปัญหาส่วนตัวได้เลย เขาแยกระหว่างหน้าที่พ่อกับหน้าที่นักฟุตบอลอาชีพไม่ได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นต้นเหตุของความถดถอยที่แท้จริง
จริง ๆ แล้วปัญหาทุกเรื่องนั้นมีทางแก้ แต่อย่าลืมว่าเรา ๆ ท่าน ๆ ที่อ่านกันอยู่ตอนนี้อาจจะมองว่าเขาแก้ปัญหาไม่เป็น ทำได้ไม่ดีพอ แต่ต้องอย่าลืมว่ามันต่างกรรมต่างวาระ เราไม่อาจเอาตัวเราไปตัดสินปัญหาชีวิตของคนอื่น ๆ ได้เลย
ไอร์แลนด์ ในตอนนั้นอายุยังน้อยมาก มีรายได้ไม่มากพอที่จะใช้เงินแก้ปัญหา อีกทั้งยังเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยปรึกษาหรือเล่าเรื่องความทุกข์ใจให้ใครฟัง เนื่องจากปูมหลังของชีวิตที่ไม่สมบูรณ์
เขาได้พยายามทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้แล้วสำหรับเด็กวัยทีนเอจ และการเลือกไม่เล่นให้ทีมชาติคือทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะคิดได้ในเวลานั้น แต่เขาคงคิดไม่ถึงว่าการตัดสินใจของเขาจะทำให้เกิดคำวิจารณ์จากสาธารณะที่ทำให้เขามีสภาพจิตใจยํ่าแย่ลงทุกวัน เมื่อจิตใจแย่ ร่างกายก็แย่ตาม และสุดท้าย สตีเฟน ไอร์แลนด์ ก็ปิดเส้นทางอาชีพแบบที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ตามคำทำนายของใครหลายคนที่เห็นเขาเล่นตอนที่ยังเป็นเด็ก
ตอนนี้เขาผ่านเรื่องทั้งหมดไปได้แล้ว … เขามองย้อนกลับไปยังปัญหาในวัยเด็กด้วยความเข้าใจ เขาเลิกโทษตัวเองและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วยดี เขามีรายได้ที่อาจจะไม่มากนักแต่ก็ไม่น้อยจนเกินไป ได้ลงเล่นจนอายุ 35 ปี ตอนนี้ลูก ๆ ของเขาเติบโตแล้ว และเขาก็ภูมิใจที่ได้เห็นลูก ๆ ของเขาโตขึ้นอย่างมีคุณภาพจากความพยายามที่จะเป็นพ่อที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้